ในรอบหนึ่งพันปี ถึงปี ค.ศ. 2000 มีการประดิษฐ์คิดค้น ทางด้านการแพทย์มากมาย จึงนับเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะคัดเลือกเพียง9 สุดยอดผลงานการประดิษฐ์คิดค้นด้านการแพทย์ที่มีคุณประโยชน์ และมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์มากเป็นพิเศษ
ต่อไปนี้เป็น 9 สุดยอดสิ่งประดิษฐ์คิดค้นทางด้านการแพทย์ในรอบหนึ่งพันปี ตามการพิจารณาคัดเลือกโดยนิตยสาร POPULAR SCIENCE
เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1895 จากการค้นพบรังสีเอกซ์อย่างบังเอิญ โดนนักฟิสิกส์เยอรมัน วิลเฮล์ม รึนต์เกน (WILHELM ROENTGEN) และทำให้ผู้ค้นพบได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์เป็นคนแรก ในปี ค.ศ. 1901 หลังการค้นพบเพียงสามเดือน เครื่องฉายรังสีเอกซ์ก็ได้รับการนำไปใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์ ถ่ายภาพรังสีเอกซ์ของคนแขนหัก ทำให้แพทย์สามารถช่วยรักษาแขนที่หักได้อย่างถูกวิธ ีมาถึงปัจจุบัน รังสีเอกซ์กำลังถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ในด้านต่าง ๆ มากมาย ดังเช่นการแพทย์อุตสาหกรรม และด้านดาราศาสตร์
เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1955 จากการประดิษฐ์คิดค้นของนักชีววิทยาชาวอเมริกัน ชื่อ เกรกอรี พินคัส (GREGORY PINCUS) ยาคุมกำเนิดได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญต่อสังคมมนุษย์ และบทบาทของสตรีทั่วโลก เพราะทำให้เกิดการวางแผนครอบครัวบังเกิดผลอย่างแท้จริง และปลดปล่อยสตรีมิให้ต้องถูกพันธนาการด้วยภาระการตั้งครรภ์และเลี้ยงลูก ถ้าไม่ต้องการหรือยังไม่พร้อม
เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1790 เป็นผลงานการประดิษฐ์คิดค้นของ จอห์น กรีนวูด (JOHN GREENWOOD) ผู้เป็นหมอฟันประจำตัวจอร์ช วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา เครื่องเจาะฟันมีบทบาทอย่างสำคัญ ทำให้การอุดฟันโดยทันตแพทย์ทำให้ง่ายขึ้น และมีประสิทธิภาพขึ้น
เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1796 โดยแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ เอดเวอร์ด เจนเนอร์ (EDWARD JENNER) ได้ใช้เชื้อโรคที่อ่อนกำลังลงมากจากวัวฉีดให้กับเด็กชายชาวอังกฤษคนหนึ่ง แล้วพบว่า มีผลเป็นวัคซีนป้องกันเด็กจากโรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษได้
เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1928 จากการค้นพบโดยบังเอิญของ อเล็กซานเดอร์ เซลมิง (ALEXANDER FLEMING) ว่า เชื้อบางชนิดสามารถฆ่าแบคทีเรียได้ ในปัจจุบันมียาปฏิชีวนะมากมายที่ช่วยรักษาโรคจากแบคทีเรีย ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่ผลิตจากเชื้อราแต่ก็กำลังเกิดปัญหาว่าเชื้อโรคหลายชนิด สามารถพัฒนาตนเองจนกระทั่งดื้อยาปฏิชีวนะที่เคยรักษาได้มาก่อน
เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1853 ถึงแม้ว่าเข็มชนิดกลวงภายในซึ่งเป็นลักษณะ และส่วนสำคัญของเข็มฉีดยาจะถูกประดิษฐ์ขึ้นมาก่อนแล้วประมาณหนึ่งทศวรรษ แต่เข็มฉีดยาที่ใช้งานได้จริงเกิดขึ้นโดยแพทย์ฝรั่งเศส ชื่อ ชาร์ลส์ พราวาซ (CHARLES PRAVAZ) ในปี ค.ศ. 1853 นั้น และทำให้การให้ยาแก่คนป่วยที่นอกเหนือจากการกินเป็นไปได้ อย่างสะดวกสบายขึ้น และมีประสิทธิภาพถึงแม้คนถูกฉีดยาจะรู้สึกเจ็บ จากการถูกแทงด้วยเข็มฉีดยา แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เกิดขึ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะในปี ค.ศ.1847 เมื่อ อิก นาซ ฟิลิปป์ เซมเมลไวส์ (IGNAZPHILIPP SEMMELWEISS) แพทย์ชาวฮังการี ได้ขอให้แพทย์ทำคลอดทุกคนล้างมือก่อนทุกครั้งก่อนทำคลอด เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่จะติดทั้งตัวผู้เป็นแม่และทารก การฆ่าเชื้อหรือการทำให้ตัวแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์ปลอดจากเชื้อโรค เป็นก้าวสำคัญทำให้การผ่าตัดและการรักษาคนป่วย ที่ต้องมีการสัมผัสโดยมือของแพทย์ และเครื่องมือแพทย์ปลอดภัยขึ้นอย่างมาก
เกิดขึ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะในปี ค.ศ. 1846 จากการค้นพบโดย เซอร์ เจมส์ ซิมป์สัน (SIR JAMES SIMPSON) ชาวสก๊อตแลนด์ว่า คลอโรฟอร์มมีผลทำให้คนป่วยหมดสติ เพื่อที่แพทย์จะทำการผ่าตัดหรือช่วยทำคลอดได้โดยที่คนป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บปวด ถึงแม้เรื่องของการใช้ยาสลบคือ อีเทอร์ จะถูกทดลองใช้ก่อนในสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อข่าวนี้มาถึงอังกฤษ เซอร์เจมส์ ซิมป์สัน ทุ่มเทความสนใจอย่างจริงจังและเลือกใช้คลอโรฟอร์มเป็นยาสลบ ซึ่งเขาได้ใช้คลอโรฟอร์มนี้ช่วยให้พระนางเจ้าวิกตอเรียคลอดพระราชโอรส คือ เจ้าชายจีโอโพลด์ โดยไม่รู้สึกเจ็บปวด อย่างไรก็ตาม ในที่สุดอีเทอร์ก็ได้รับการยอมรับใช้เป็นยาสลบมากกว่าคลอโรฟอร์ม
เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1982 เมื่อ ดร.บาร์นีย์ คลาร์ก (BARNEY CLARK) เป็นมนุษย์คนแรกที่ได้ใช้หัวใจเทียมเป็นอุปกรณ์เครื่องกล ประดิษฐ์ขึ้นโดย วิลเลม เจ.คอล์ฟฟ์ (WILLEM J.KOLFF) และโรเบิร์ต จาร์วิค (ROBERT JARVIK) ดร.บาร์นีย์ คลาร์ก มีชีวิตอยู่ได้โดยหัวใจเทียมเป็นเวลา 112 วัน |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น